ทำความรู้จักกับ รูเบน อโมริม ว่าที่กุนซือคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล
จากการที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ประกาศขอก้าวลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีกหลังจากจบฤดูกาลนี้ด้วยเหตุผลว่าหมดพลังงานที่จะทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆอีกต่อไป หลังจากนั้น เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) เจ้าของทีม ลิเวอร์พูล ก็ได้เริ่มกระบวนการผู้ที่จะมานำพาสโมสรก้าวไปข้างหน้า เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้ง ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ อดีตผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรขึ้นเป็นซีอีโอฟุตบอล ตามมาด้วยการแต่งตั้ง ริชาร์ด ฮิวจ์ส ผอ.กีฬาของ บอร์นมัธ ให้มาเป็นผอ.คนใหม่ของทีม โดยจะเริ่มงานในเดือน พ.ค.นี้ ทันทีที่มีการแต่งตั้งบุคลากรระดับสูงเรียบร้อยแล้ว ลิเวอร์พูล ก็เริ่มเข้าสู่การสรรหาตัวผู้จัดการทีมที่จะเข้ามาสานงานต่อจาก คล็อปป์ โดยตอนแรกมีรายงานว่าบอร์ดบริหารต้องการตัว ชาบี้ อลอนโซ่ อดีตกองกลางของทีมที่ปัจจุบันคุมทัพ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แต่ก็ต้องแย่งกับ บาเยิร์น มิวนิค ที่อยากได้ไปเป็นกุนซือในฤดูกาลหน้าเช่นกัน อย่างไรก็ตามล่าสุดมีรายงานว่า ชาบี้ อลอนโซ่ ตัดสินใจขอทำงานคุมทัพ “ห้างขายยา” ต่อไป เนื่องจากมองว่าตัวเองยังไม่พร้อมและมีประสบการณ์ไม่มากพอที่จะก้าวขึ้นไปคุมทีมยักษ์ใหญ่ระดับ ลิเวอร์พูล หรือ บาเยิร์น ได้ ด้วยเหตุนี้ “หงส์แดง” จึงจำเป็นต้องมองหาตัวกุนซือรายใหม่ โดยสื่อในอังกฤษหลายสำนักรายงานตรงกันว่า “รูเบน อโมริม” โค้ชวัย 39 ปีของทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในโปรตุเกส คือเป้าหมายล่าสุดของบอร์ดบริหารลิเวอร์พูล
เส้นทางอาชีพนักฟุตบอลของ รูเบน อโมริม
รูเบน อโมริม เคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อนโดยเล่นในตำแหน่งกองกลาง เขาเริ่มต้นฝึกฟุตบอลกับสโมสร แอตเลติโก้ คัลเจอรัล, เบนฟิก้า และ เบเลเนนเซส ซึ่งสโมสรสุดท้ายนี้เองที่ อโมริม พัฒนาฝีเท้าจนสามารถคว้าสัญญาอาชีพฉบับแรกมาได้สำเร็จ โดย อโมริม ลงประเดิมสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพนัดแรก ในเกมที่ เบเลเนนเซส เจอกับ อัลเวอร์ก้า เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2003 แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าตัวก็เป็นเพียงอะไหล่เสริมของทีมเท่านั้น มีเพียงซีซั่น 2007-08 ที่ได้ขึ้นมาเป็นตัวจริงแบบเต็มตัว เบ็ดเสร็จได้ค้าแข้งให้ทีมไป 96 นัดตลอดระยะเวลา 5 ฤดูกาล ต่อมาในช่วงเดือน เม.ย. 2008 อโมริม ตกลงย้ายไปร่วมทีม เบนฟิก้า สโมสรยักษ์ใหญ่ของโปรตุเกส แต่ก็ไม่สามารถแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงได้ จนต้องย้ายมาอยู่กับ บราก้า แบบยืมตัวในปี 2011 ซึ่งเมื่อกลับสู่ เบนฟิก้า สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นแถมยังโชคร้ายบาดเจ็บหนักที่เอ็นไขว้หน้าหัวเข่า และถึงแม้จะหายเจ็บและย้ายไปเรียกความฟิตกับทีม อัล วาคราห์ ในกาตาร์ แต่อาการเจ็บที่หัวเข่าก็กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง จนสุดท้าย อโมริม ต้องตัดสินใจขอยกเลิกสัญญากับ เบนฟิก้า และแขวนสตั๊ดในที่สุด
เส้นทางสู้การเป็นโค้ช
หลังแขวนสตั๊ด รูเบน อโมริม เข้าร่วมอบรมการเป็นโค้ชกับสมาคมฟุตบอลเมืองลิสบอน และเริ่มทำงานเป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสร คาซ่า เปีย ในดิวิชั่น 3 แต่ทำได้ไม่นานก็ลาออกเนื่องจากมีปัญหาใบอนุญาตโค้ช ก่อนจะมาได้งานใหม่ด้วยการไปเป็นโค้ชทีมสำรองของ บราก้า ในเดือน ก.ย. 2019 ต่อมา บราก้า เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อ ริคาร์โด้ ซา ปินโต้ ถูกปลดออกจากตำแหน่งกุนซือ อโมริม จึงได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นกุนซือคนใหม่ของสโมสร โดยในเวลานั้น บราก้า รั้งอันดับ 8 ของลีก แต่เมื่อได้ อโมริม เข้ามา เขาก็พลิกสถานการณ์จนพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพได้สำเร็จจากการโค่นยักษ์ใหญ่อย่าง เอฟซี ปอร์โต้ ในรอบชิงชนะเลิศ โดยใช้เวลาแค่ 3 สัปดาห์นับตั้งแต่เขาขึ้นมาเป็นกุนซือใหญ่ ด้วยผลงานที่โดดเด่นในการเป็นโค้ชแม้เพิ่งได้คุมทัพให้ บราก้า แค่ 2 เดือน รวม 13 นัดเท่านั้น แต่ก็ทำให้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ยอมเสี่ยงครั้งสำคัญด้วยการจ่ายค่าฉีกสัญญามูลค่าถึง 10 ล้านยูโรเพื่อคว้าตัว อโมริม ไปเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ นับเป็นสถิติค่าตัวผู้จัดการทีมที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลโปรตุเกสทีเดียว
กุนซือดาวรุ่งฟอร์มแรง
รูเบน อโมริม ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุนซือคนใหม่ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในวันที่ 4 มี.ค. 2020 และก็ช่วยให้ สปอร์ติ้ง ที่ย่ำแย่มาตลอด ขยับขึ้นมาจบอันดับ 4 คว้าตั๋วลุยศึกยูโรปาลีกได้สำเร็จ จากนั้นในฤดูกาล 2020-21 อโมริม ก็สร้างความฮือฮาด้วยการพา สปอร์ติ้ง คว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งลีกสูงสุดและลีกคัพ โดยเฉพาะในลีกที่เป็นการได้แชมป์สมัยแรกในรอบ 19 ปีของสโมสรทีเดียว ซีซั่นถัดมา (2021-22) สปอร์ติ้ง ก็ยังคว้าแชมป์บอลถ้วยได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ผลงานในลีกนั้นจบที่ตำแหน่งรองแชมป์ จากนั้นในซีซั่น 2022-23 ผลงานในลีกของพวกเขาเริ่มตกต่ำลงไปเนื่องจากการเสียผู้เล่นสำคัญๆไปหลายราย ทั้ง นูโน่ เมนเดส, ชูเอา ปาลินญ่า และ มาเธอุส นูนเญซ ทำให้จบแค่อันดับ 4 เท่านั้น อย่างไรก็ตามในฤดูกาลปัจจุบัน สปอร์ติ้ง กลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงอีกครั้ง และมีการพูดกันว่าทีมมีสไตล์การเล่นที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ อโมริม เข้ามากุมบังเหียนเลยก็ว่าได้ โดยปัจจุบันทีมรั้งจ่าฝูงของลีกด้วยการแพ้แค่ 2 จาก 25 เกม และยิงประตูได้ถึง 75 ลูกทีเดียว
ด้วยความรักและหลงใหลในฟุตบอล อีกทั้งอยากเปิดโอกาสให้ผู้วิเคราะห์บอล นักเขียนข่าวกีฬาหน้าใหม่ได้มีพื้นที่ในการแสดงผลงาน จึงเกิดเป็นเว็บไซต์ THscore ขึ้นมา
สิ่งที่งดงามในโลกฟุตบอลที่สุดสำหรับผมไม่ใช่การยิงประตูสุดสวยหรือการที่ทีมโปรดได้รับชัยชนะ
แต่เป็นสิ่งตรงหน้า นั่นคือสีหน้าแฟนบอลที่แสดงออกมาในโมเม้นสุดพิเศษต่างๆ ทำให้ผมอยากสร้างคอมมูนิตี้ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้
Liu haexx ปัจจุบันเป็นเจ้าของเว็บไซต์ thscore โดยสามารถเรียกชื่อสั้นๆได้ว่า “เฮ็ก”